ตั้งแต่หลักสูตร MBA เปิดสอนครั้งแรกโดย Harvard Business School (HBS) ในปีค.ศ. 1908 เพียงไม่นาน หลักสูตรนี้ก็กลายเป็นสาขาวิชายอดนิยมของนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา และขยายความนิยมไปยังแถบยุโรปในปีค.ศ. 1957 โดยสถาบันธุรกิจ INSEAD ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในสองสามทศวรรษที่ผ่านมา MBA ก็ได้เป็นที่นิยมไปทั่วเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา ปัจจุบัน MBA ถือเป็นสาขาวิชาระดับปริญญาโทที่นักศึกษาอเมริกัน เลือกเรียนมากที่สุดเป็นอันดับสอง
ในระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1971 ระยะแรกสาขาวิชา MBA และสาขาวิชากฎหมาย เป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมพอๆ กันในประเทศอเมริกา แต่ต่อมาสาขาวิชา MBA กลับได้รับความนิยมมากกว่าสาขาวิชากฎหมายหลายเท่า ทางด้านตลาดเกิดใหม่อย่างทวีปเอเชีย สาขาวิชา MBA ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในประเทศอินเดียมี Business schools มากถึง 2,000 กว่าแห่ง ส่วนในประเทศจีนอุตสาหกรรมด้านการศึกษาก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเปิดสอน MBA ประมาณ 250 หลักสูตร และมีนักศึกษาจบการศึกษามากถึง 30,000 คนต่อปี ซึ่งคาดการณ์กันว่าทศวรรษหน้าจำนวนนักศึกษาอาจเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ประมาณ หนึ่งเท่าตัว
แต่หลังจากเกิดวิกฤติทางการเงินทั่วโลก และจากเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่เริ่มหันมาใส่ใจปัญหาสังคมกันมากขึ้น จากเดิมที่หลักสูตร MBA มักดึงดูดใจผู้สมัครว่าเรียนจบแล้วจะมีรายได้ที่สูงขึ้น ก็เริ่มมีการนำประเด็นเรียนจบ MBA เพื่อทำงานให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรหรือประกอบกิจการเพื่อสังคม มาเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดนักศึกษารุ่นใหม่ที่สนใจเรียนด้าน MBA
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ The Economist ได้สำรวจพบว่า ค่าธรรมเนียมการศึกษาของคอร์ส MBA ในแถบ Chicago เก็บค่าเรียนแพงขึ้นจากปีค.ศ. 2008 ราว 17,000 $ ส่วนคอร์สของมหาวิทยาลัย Harvard ก็แพงขึ้นเกือบ 25,000 $ แต่ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการศึกษาเพิ่มขึ้นนั้น อัตรารายได้ของนักศึกษาที่จบคอร์ส MBA กลับลดลงจาก 5 ปีที่แล้วประมาณ 1,500 $ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีผู้จบปริญญาโทสาขาวิชานี้กันมากขึ้น
ผู้พัฒนาหลักสูตร MBA ของสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงต้องมีการปรับปรุงเนื้อหารายวิชาด้วยเช่นกัน เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และตอบสนองความต้องการของนักศึกษารุ่นใหม่ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนหลักสูตร MBA จะเน้นสอนให้ผู้เรียนมีความรู้กว้างๆ ในทักษะด้านการบริหาร แต่ปัจจุบันหลายหลักสูตรได้เพิ่มเนื้อหาสาระเฉพาะทางเข้าไปในหลักสูตร เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่นักศึกษา อย่างเช่น เรื่องการเงิน หรือการเปิดหลักสูตร MBA เฉพาะทางสำหรับประกอบธุรกิจต่างๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่ เช่น ธุรกิจดูแลสุขภาพ สินค้าหรูหรา สินค้าพิเศษ ธุรกิจไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ เพราะนักศึกษาจำนวนมากเริ่มมีแนวคิดว่า ก่อนจะสมัครเรียน MBA ควรมีการวางแผนการประกอบอาชีพในอนาคตที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาวุฒิการศึกษาเท่านั้น
Business schools ทั้งหลายจึงต้องมีการขยับขยายมากขึ้น หลายสถาบันเริ่มดึงตัวนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยา เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในคณะอาจารย์ เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ในหัวข้อต่างๆ เช่น ความผู้นำ พฤติกรรมขององค์กร ฯลฯ ให้แก่นักศึกษา และเมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยอย่าง York University ประเทศแคนาดา ก็เพิ่งเปิดคอร์สปริญญาโทสาขาวิชา Business Analytics มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาที่มีความรู้พื้นฐานค่อนข้างแน่น เช่น นักคณิตศาสตร์ หรือวิศวกร โดยผู้เรียนคอร์สนี้จะได้ด้านคณิตศาสตร์อย่างเจาะลึกมากกว่าคอร์ส MBA ทั่วๆ ไป เพื่อให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลต่อธุรกิจได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อเทรนด์ของหลักสูตร MBA ในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน สถาบันการศึกษาชื่อดังหลายแห่ง เช่น The Wharton school ได้จัดทำ Massive online open courses (MOOCs) เผยแพร่ความรู้ด้าน MBA ให้แก่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกกันแบบฟรีๆ ซึ่งนักวิชาการบางคนมองว่า ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อยอดผู้สมัครเรียน MBA ก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายสถาบันการศึกษา เปิดสอน MBA ทางไกลผ่านออนไลน์ โดยเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็นับเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายกลุ่มผู้เรียนที่น่าสนใจ จนบางมหาวิทยาลัยนำไปใช้เป็นจุดขายว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก คุณก็สามารถเข้าถึงมาตรฐานการศึกษาที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย
The University of North Carolina at Chapel Hill (UNC) เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ที่เปิดสอนหลักสูตร MBA ผ่านทางออนไลน์แบบเต็มเวลา ใช้เวลาเรียน 18 เดือน เปิดรับนักศึกษา 500 คน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่ไม่สามารถเดินทางมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยได้ด้วยเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ Douglas Shackelford ไดเร็คเตอร์ของโปรแกรม MBA Online จาก UNC มีความเห็นว่า หลักสูตรออนไลน์สามารถมีมาตรฐานการสอนเทียบเท่ากับการเรียนในห้องเรียนจริง ได้ อย่างทาง UNC จะจำกัดจำนวนนักศึกษาออนไลน์ไว้ที่ 15 คนต่อห้องเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างทั่วถึง และข้อดีอีกประการคือ อาจารย์ผู้สอนไม่จำกัดว่าต้องอาศัยอยู่ใน North Carolina เท่านั้น ทางมหาวิทยาลัยสามารถคัดสรรอาจารย์ที่ดีที่สุดได้จากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถกลับมาทบทวนบทเรียนและการอภิปรายต่างๆ ในชั้นเรียน ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ที่มา: The Economist |