Staff : ทำไมถึงอนุญาตให้ลูกเข้าร่วมโครงการ Au pair?
คุณแม่ : ก่อนอื่นเลย คุณแม่ติองบอกก่อนว่า คุณแม่ มีลูกสาว2คนค่ะ น้องมนมนเป็นลูกสาวคนโต ตั้งแต่เล็กจนโตเนื่องจากว่าคุณพ่อและคุณแม่ทำงานหนัก ดังนั้นกิจกรรมการเรียนและงานอดิเรกอื่นๆของลูกเราไว้ใจให้เขาตัดสินใจเอง โดยเราจะพิจารณาตามความเหมาะสมอีกที มีอยู่วันนึงมนมนลาออกจากงานพยาบาลแล้วโทรมาบอกคุณแม่ว่า " แม่! น้องจะไปอเมริกา อยากเก่งภาษา " ในตอนนั้นยอมรับเลยค่ะว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่เลยตอบตกลงไปโดยที่ไม่ได้ถามว่าโครงการอะไร พอลูกบินกลับบ้าน ( คุณแม่อยู่เชียงราย ส่วนน้องมนอยู่กรุงเทพ ) และเอาเอกสารเท่านั้นแหละ ใจหายเลยค่ะ ก็เลยมีโอกาสได้นั่งคุยกัน สอบถามทุกอย่างเกี่ยวกับโครงการได้ความมาว่า เป็นโครงการ Au Pair และน้องเขาจะไปเลี้ยงน้องแฝด2คน ไปอยู่กับHost Family ชาวอเมริกัน แล้วค่อยลงเรียนภาษาเพิ่มเติมจากภาษาที่ได้พูดคุยในชีวิตประจำวัน เราก็ค่อยวางใจที่ตัวโครงการมีที่พักอะไรเรียบร้อย มีคนที่จะช่วยเหลือลูกเราได้ในยามที่เขาไม่สบายหรือมีเหตุฉุกเฉิน โดยส่วนตัวแล้วคุณแม่ค่อนข้างจะวางใจกว่าถ้าจะให้ลูกไปแบบ work and travel เพราะใช้ระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่เมื่อพิจารณาดูในทุกๆด้านแล้ว ก็คิดว่าการได้อยู่กับ Host Family น่าจะได้ภาษาเร็วกว่า อีกทั้งบริษัทที่ดำเนินการให้ดูน่าเชื่อถือ มีความรับผิดชอบ มีความใส่ใจ คอยช่วยเหลือและโทรมาหาลูกเราบ่อยๆ อย่างไรก็ตามในหัวอกคนเป็นแม่นั้นก็อดห่วงลูกสาวไม่ได้เลย เพราะเท่าที่เคยอ่านดูในเว็บบอร์ดออแพร์ต่างๆก็มีทั้งคนเจอประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนเป็นพ่อแม่ต้องเชื่อมั่นในคนของเราว่าเขาเอาตัวรอดได้ เขาอยู่ได้ คุณแม่เชื่อเสมอว่าถ้าน้องมนมนไปแล้วจะเติบโตเป็นผู้ใหญมากขึ้น มีความก้าวหน้า มีอนาคตที่ดี รวมทั้งมีความสุขเขาก็จะสนุกกับชีวิตในต่างแดนมากๆ หรือต่อให้เขาเจอปัญหา เข้าจะแก้มัน อดทนจนผ่านมันไปได้แน่นอน เราต้องเชื่อใจกันและกันค่ะ
นารี
ทีมงานออแพร์เรียนนอกขอขอบคุณ คุณแม่นารีที่เสียสละเวลาในการให้สมัภาษณ์ค่ะ